ตั้งแต่ตื่นนอนมาสิ่งแรกที่เราควรทำคือการดื่มน้ำเพราะในร่างกายเรานั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญอยู่ถึง 70% ตลอดทั้งคืนที่เรานอนหลับ ร่างกายของเรานั้นขาดทั้งน้ำและอาหารเป็นเวลานาน เราจึงต้องดื่มน้ำเป็นประจำเพื่อชดเชยให้กับน้ำที่สูญเสียไปจากร่างกายตลอดทั้งคืน ยังรวมไปถึงการสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะ การขับเหงื่อ หรือแม้แต่การระเหยออกมาทางลมหายใจ ร่างกายคนเราจึงต้องการน้ำเข้าไป
ดังนั้น คนที่ออกกำลังกายและเล่นกีฬา การดื่มน้ำมีความจำเป็นมาก เพราะในช่วงที่เราออกกำลังกายนี้เราจะสูญเสียน้ำออกจากร่างกายไปเป็นปริมาณที่มากอย่างรวดเร็ว จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยให้กับร่างกาย
น้ำก็มีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ "น้ำเปล่า" กับ "น้ำแร่" คุณเคยสงสัยไหมว่าน้ำ 2 ประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไร?
น้ำแร่ VS น้ำเปล่า ความเหมือนที่แตกต่าง
ความแตกต่างระหว่าง "น้ำเปล่า" กับ "น้ำแร่" ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมาย เพราะในน้ำเปล่าก็มีแร่ธาตุอยู่เหมือนกันเช่นกัน แต่ในปริมาณที่น้อยกว่าน้ำแร่นั้นเอง
คุณประโยชน์ของแร่ธาตุต่างๆ ในน้ำแร่ธรรมชาติ
• เกลือซัลเฟตของโซเดียมและแมกนีเซียม ช่วยลดความตึงของกล้าเนื้อ ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย ใช้เป็นยาระบาย ลด
• ฟลูออไรด์ สามารถป้องกันฟันผุได้
• น้ำแร่ที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ที่มีองค์ประกอบของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งช่วยในเรื่องของการขับปัสสาวะ
• น้ำแร่เป็นด่าง ที่มีองค์ประกอบของเกลือไบคาร์บอเนต อาจช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้
• แคลเซียม จะช่วยเสริมสร้างกระดูก
• โปแตสเซียม ช่วยในการเผาผลาญอาหารและช่วยรักษาสมดุลความเป็นกรดเป็นด่างของร่างกาย
• โซเดียม ช่วยรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกายและระบบประสาทรับความรู้สึก
• ไอโอดีน ป้องกันโรคคอพอก
• ซัลเฟต ช่วยล้างสารพิษภายในร่างกาย
เราจำเป็นไหม ที่ต้องดื่มแต่น้ำแร่ ?
บอกก่อนเลยว่าเราไม่จำเป็นและไม่ควรดื่มเฉพาะน้ำแร่เท่านั้น เพราะในน้ำแร่มีแร่ธาตุอยู่มากมายหลายชนิดและมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากกว่าน้ำเปล่าก็จริง แต่ไม่ควรดื่มแทนน้ำเปล่าตลอดเวลาเพราะร่างกายจะเสียสมดุลภายใน ถึงแม้น้ำแร่ส่วนใหญ่ที่ผลิตออกมา จะไม่เกินอัตราที่ร่างกายรับไหวต่อวัน แต่หากกินติดกันทุกมื้อ จะทำให้ไตทำงานหนักในการกรองแร่ธาตุต่างๆ
จากเว็บไซต์คณะเภสัชศาสตร์ มหาลัยมหิดล (เรื่อง มารู้จักน้ำแร่กันเถอะ โดยเภสัชกรหญิง ดารวี ศิริพรหม ภาควิชาอาหารและเคมี) ได้แนะนำว่า วิธีดื่มน้ำแร่ แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
1. การดื่มน้ำแร่แบบ (Water loading) คือ การดื่มน้ำปริมาณ 1 ลิตร ภายใน 30 นาที ขณะท้องว่าง เพื่อต้องการขับขับของเสียพวกนิ่วออกจากร่างกาย วิธีนี้ไม่ควรดื่มก่อนนอน
2. การดื่มแบบ (Subdivided doses) คือ การดื่มน้ำแร่ปริมาณ 500 มิลลิลิตร และ ตามด้วยน้ำแร่ 10 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยจิบน้ำครั้งละน้อยขณะอ่อนเพลีย หรือขณะเดิน หรือพร้อมมื้ออาหาร
สำหรับคนที่ออกกำลังกายและเล่นกีฬา การดื่มน้ำที่เหมาะสม คือ การดื่มที่ละน้อย ดื่มไปเรื่อยๆ ควรเลือกดื่มน้ำแร่ที่มีปริมาณเกลือแร่เล็กน้อย โดย ดื่มทุก 15-20 นาที ปริมาณ 100 มิลลิลิตร เพราะการดื่มน้ำที่ละมากๆ จะรู้สึกจุกเสียด แน่น หรือพะอืดพะอม แถมการดื่มน้ำมากเกินไปยังทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำได้ช้ากว่าปกติอีกด้วย ! และควรดื่ม 400 มิลลิลิตร ในช่วงที่เราอบอุ่นร่างกายก่อนพักหรือหลังจากที่เราออกกำลังกายเสร็จก็ได้
ใครไม่ควรดื่มน้ำแร่ ?
ถึงแม้น้ำแร่จะมีคุณประโยชน์หลากหลายชนิดที่สำคัญต่อร่างกาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีประโยชน์กับทุกคนเสมอไป สำหรับบุคคลที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่ ได้แก่
- - ผู้ป่วยที่เป็นโรคไต และมีหัวใจไม่ดี ไม่ควรการดื่มน้ำแร่
- - ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง (ไม่ควรดื่มน้ำแร่ที่มีโซเดียมสูง)
- - ผู้ที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารปริมาณมาก แผลในกระเพาะอาหารและความดันโลหิตสูง (ไม่ควรดื่มน้ำแร่เกลือโซเดียมคลอไรด์)
- - ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะหลอดลมหดเกร็ง (ไม่ควรดื่มน้ำแร่ซัลเฟอร์)
- - ผู้ป่วยที่มีภาวะ gastric hypochilia (ไม่ควรดื่มน้ำแร่ไบคาร์บอเนต)
- - ผู้ป่วยที่มีโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารและมีแผลในทางเดินอาหาร (ไม่ควรดื่มน้ำแร่ซัลเฟต)
ค่ามาตรฐานของแร่ธาตุที่ร่างกายควรได้รับ
ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำแร่ชนิดต่างๆ แล้วก็ตาม แต่เราก็ควรทราบถึงปริมาณแร่ธาตุต่างๆ ที่ร่างกายเราควรได้รับไว้เช่นกัน ก่อนจะเลือกซื้อเลือกหยิบน้ำดื่มสักควรมาดื่ม ควรพลิกดูว่าน้ำแร่ขวดนั้นมีแร่ธาตุอะไรอยู่บ้าง เกินค่ามาตราฐานหรือไม่ เพราะถ้าเกินค่ามาตราฐาน อาจจะทำให้แร่ธาติต่างๆ ตกค้างและเป็นอันตรายต่อร่างกายของเราได้
- ธาตุเหล็ก ไม่ควรเกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร
- แมงกานีส ไม่เกิน 0.3 มิลลิกรัมต่อลิตร
- ทองแดง ไม่ควรเกิน 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
- สังกะสี ไม่ควรเกิน 5.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
- ซัลเฟต ไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัมต่อลิตร
- ฟลูออไรด์ ไม่ควรเกิน 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
- ไนเตรท ไม่ควรเกิน 45 มิลลิกรัมต่อลิตร
- คลอไรด์ ไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัมต่อลิตร
หน้าที่เข้าชม | 441,057 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 327,300 ครั้ง |
เปิดร้าน | 3 ก.ค. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 21 ส.ค. 2568 |